ทั้งนี้ แบ่งเป็น 3 ด้านสำคัญ ได้แก่ 1.มิติด้านความมั่นคง สร้างความสมดุลด้วยการกระจายแหล่งเชื้อเพลิงเพื่อผลิตไฟฟ้า โดยมีการปรับลดสัดส่วนการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติ ที่ปัจจุบันต้องพึ่งพาสูงถึง 64% ให้ลดลงเหลือ 45-50% ในช่วงกลางแผนปี 2569 และในปลายแผนจะลดลงเหลือเพียง 30-40% ในปี 2579 ซึ่งจะเพิ่มในส่วนของพลังงานหมุนเวียน ถ่านหินสะอาด และการรับซื้อไฟฟ้าจากเพื่อนบ้าน เป็นต้น
2.มิติด้านสิ่งแวดล้อม แผน PDP 2015 จะรักษาความสมดุล โดยเร่งลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของปัญหาภาวะโลกร้อน ภายใต้แผนจะให้การปลดปล่อยคาร์บอนฯลดลงจาก 0.506 กิโลกรัมคาร์บอนฯต่อหน่วย เหลือ 0.319 กิโลกรัมคาร์บอนฯต่อหน่วย หรือจะมีการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนฯลดลง 37% ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน รวมถึงการอนุรักษ์พลังงานอย่างเต็มที่ และ 3.มิติด้านการส่งเสริมการแข่งขันทางธุรกิจ จากการรักษาสมดุลค่าไฟฟ้า ที่จะช่วยให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าที่คาดว่าจะมีอัตราการเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ตลอดช่วงของแผน PDP 2015
นายทวารัฐกล่าวว่า ภายใต้แผน PDP 2015 ที่จะมีสัดส่วนของสำรองไฟฟ้าในระบบที่จะเพิ่มสูงสุดเฉลี่ยประมาณ 35-39% ในปี 2567 และจากนั้นจะทยอยลดลงเฉลี่ยเหลือ 15% ตามแผนนั้น เป็นผลมาจากสาเหตุหลักๆ คือ จากผลของการประมาณการปรับลดตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ที่ลดลงเฉลี่ยจาก 4.41% เหลือ 3.94% และผลของการประหยัดพลังงานตามแผนอนุรักษ์พลังงานที่เพิ่มขึ้นจาก 20% เป็น 100% ตามแผน
โดยกระทรวงยืนยันว่าสัดส่วนของการคำนวณสำรองไฟฟ้าในระบบมีผลต่อราคาค่าไฟฟ้า ตามแผนน้อยมาก และอัตราค่าไฟฟ้าตามแผนจะอยู่ที่ประมาณ 4.587 บาทต่อหน่วย ในช่วงปลายแผน หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียงปีละ 1.89% ซึ่งไม่ได้เกิดจากปัจจัยของสำรองไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว แต่ปัจจัยหลักคือราคาค่าเชื้อเพลิงในอนาคต
“กระทรวงขอให้ความมั่นใจว่า แผน PDP 2015 จะพยายามบริหารจัดการภายใต้การดำเนินการตามสัญญาของโรงไฟฟ้าที่มีข้อผูกพัน การพัฒนาระบบส่งและระบบจำหน่ายไฟฟ้าเพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน รวมถึงรองรับการพัฒนาพลังงานทดแทนทุกรูปแบบ และการพัฒนาระบบโครงข่าย Smart Grid เพื่อให้การบริการจัดการไฟฟ้ามีประสิทธิภาพมากขึ้น ท้ายสุดผลประโยชน์หลักจะตกอยู่กับประเทศชาติและประชาชนคนไทย ให้มีพลังงานใช้อย่างยั่งยืนและในราคาที่เป็นธรรมสูงสุด” นายทวารัฐ กล่าว
12 พฤษภาคม 2558
http://www.naewna.com/